วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554

ถั่วซีรูเลียม พืชคลุมดิน

ประโยชน์ของพืชคลุมดิน1. ช่วยป้องกันการชะล้างและการพังทลายของดิน2. ช่วยควบคุมวัชพืช ทำให้ลดเวลา แรงงาน ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการปราบวัชพืช3. รักษาความชุ่มชื้นให้กับดิน4. เพิ่มธาตุอาหารให้กับดิน จากความสามารถในการตรึงไนโตรเจนของบักเตรีไรโซเบียมในปมราก และเศษซากพืชคลุม ซึ่งในช่วง 5 ปีแรก ปริมาณธาตุอาหารที่กลับคืนดิน ได้แก่ไนโตรเจน ไร่ละ 30-56 กก.ฟอสฟอรัส ไร่ละ 3-4.5 กก.โปแตสเซียม ไร่ละ 14-21 กก.แมกนีเซียม ไร่ละ 2.5-4.5 กก.5. เพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน

ซีรูเลียม (Caeruleum) พืชคลุมดินมหัศจรรย์ (A wonderful cover crop)
http://www.rubber.co.th/document/caeruleum.pdf
เทคนิคการผลิตเมล็ดพันธุ์ซีรูเลียม
http://www.rubber.co.th/document/technic_caeruleum.pdf
ที่มา ซีรูเลียม พืชคลุมดินตระกูลถั่ว
http://www.rubber.co.th/knowledge_1l.html#title3

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2554

ปลูกมะเขือเทศบริโภคสดอย่างไรให้ได้ราคาดี?

ส้มตำ นับได้ว่าเป็นอาหารจานโปรดของใครหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะเป็นคนในประเทศไทยของเราเองหรือชาวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวในบ้านเรา จนเป็นที่กล่าวขานและรู้จักส้มตำไปทั่วโลก คนที่กำลังมองหาวิธีลดน้ำหนักเชื่อว่าการรับประทานส้มตำ จะมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี ส้มตำมีหลายรูปแบบ และมีส่วนประกอบของเครื่องปรุงหลายอย่างแตกต่างกันไป แล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคลและเหมาะกับวัฒนธรรมการรับประทานของแต่ละภาค ส้มตำไทย ไม่ใส่ปลาร้า ใส่กุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่ว ส้มตำปู ใส่ปูเค็ม รสชาติออกเค็มนำ ส้มตำปลาร้า ใส่ปลาร้านิยมรับประทานกันมากในภาคอีสาน และที่จะขาดไม่ได้คือ มะเขือเทศที่จะเพิ่มรสชาติเปรี้ยวหวานให้ส้มตำมีความอร่อยมากยิ่งขึ้น

มะเขือเทศที่ปลูกในปัจจุบันแบ่งเป็น มะเขือเทศรับประทานผลสด และมะเขือเทศอุตสาหกรรม มะเขือเทศบริโภคสดส่วนใหญ่เป็นพันธุ์สีดาในปี 2551 ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูก 52,000 ไร่ ผลผลิต 191,000 ตัน ในปี 2552 การส่งออกมะเขือเทศสดมีมูลค่า 118 ล้านบาท ซอสมะเขือเทศมูลค่า 188.6 ล้านบาท มะเขือเทศสามารถเจริญเติบโตทางด้านลำต้น ใบ และออกดอกได้ดีตลอดทั้งปี แต่การติดผลต้องการสภาพอากาศค่อนข้าง เย็น อุณหภูมิกลางวันที่เหมาะสมอยู่ที่ระหว่าง 25 - 30 องศาเซลเซียส กลางคืนประมาณ 16 - 20 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิกลางคืนสูงกว่า 22 องศาเซลเซียส จะทำให้ไม่ติดผลหรือติดผลได้น้อยมาก ฝนและความชื้นสูงเป็นสาเหตุสำคัญทำให้โรคทางใบและทางรากระบาดรุนแรง ฤดูปลูกมะเขือเทศที่เหมาะสมที่สุดจะอยู่ในช่วงฤดูหนาว ทำให้มะเขือเทศมีปริมาณมาก ราคาตกต่ำ ดังนั้น ควรวางแผนการปลูกให้มะเขือเทศสามารถออกผลผลิตได้ในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม โดยต้องเริ่มปลูกในช่วงเดือนสิงหาคม แต่ในช่วงดังกล่าวจะมีฝนตกชุก เกษตรกรที่ต้องการผลิตมะเขือเทศให้ได้ผลผลิตสูงและขายได้ราคาดี จึงจำเป็นต้องรู้จักคิดและวางแผนการปลูกให้มีผลผลิตออกตรงช่วงที่ราคาสูง เช่น กลุ่มเกษตรกรที่บ้านห้วยเตย หมู่ 9 และหมู่ 16 บ้านเกษตรก้าวหน้า หมู่ 22 ตำบลท่าพระ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น มีอ่างเก็บน้ำห้วยเตย อยู่ทางตอนใต้ของตำบล สามารถหล่อเลี้ยงพื้นที่ทำการเกษตรของหมู่บ้านได้ตลอดทั้งปี

สภาพพื้นที่ มีเนื้อเป็นดินร่วนปนทราย ที่ดอนปลูกมันสำปะหลังและอ้อย บริเวณใกล้แหล่งน้ำปลูกพืชผัก เช่น มะเขือเทศ พริก มะเขือเปราะ ข้อได้เปรียบของพื้นที่ คือ แปลงอยู่ห่างจากตลาดศรีเมืองทองซึ่งเป็นตลาดขายส่งพืชผักในตัวเมืองขอนแก่นประมาณ 15 กิโลเมตร เกษตรกรเก็บผลผลิตส่งขายตลาดโดยตรง ทำให้ขายได้ราคาดี ซึ่งราคาขายส่งตลาดศรีเมืองทองใกล้เคียงกับราคาขายส่งในกรุงเทพฯ เช่น ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง เป็นต้น จึงได้เปรียบในด้านราคาเมื่อเปรียบเทียบกับเกษตรกรในอำเภออื่นๆ รอบนอก ภายในระยะเวลา 1 ปี เกษตรกรสามารถปลูกมะเขือเทศได้ 3 ฤดูปลูก ครั้งที่ 1 ฤดูแล้งเริ่มเพาะกล้าเดือนมกราคม ปลูกเดือนกุมภาพันธ์ เก็บเกี่ยวเดือนเมษายน ครั้งที่ 2 ต้นฤดูฝนเริ่มเพาะกล้าเดือนพฤษภาคม ปลูกเดือนมิถุนายน เก็บเกี่ยวเดือนสิงหาคม และครั้งที่ 3 ปลายฤดูฝนเริ่มเพาะกล้าเดือนสิงหาคม ปลูกเดือนกันยายน เก็บเกี่ยวเดือนพฤศจิกายน ซึ่งแต่ละฤดูปลูกอาจจะเหลื่อมเวลาตามความพร้อมของเกษตรกรและความเหมาะสมของสภาพอากาศขณะนั้น ซึ่งราคามะเขือเทศเฉลี่ยในแต่ละเดือนจะแตกต่างกันจะได้ราคาสูงที่สุดในช่วงเดือนตุลาคมธันวาคม

การปลูกมะเขือเทศพื้นที่ตำบลท่าพระ มีปัญหาการผลิตคือ ในฤดูแล้งพบปัญหาโรคเหี่ยวเขียว หนอนเจาะผล และผลเน่าสีดำและไส้เดือนฝอย ส่วนฤดูฝน พบปัญหา โรคใบด่าง โรคใบไหม้ หนอนเจาะผล และผลเน่าดำ เกษตรกรไม่มีความรู้ในการแยกแยะปัญหาที่เกิดขึ้น การปฏิบัติเดิมของเกษตรกรเมื่อเกิดโรค เช่น โรคเหี่ยวเขียว เหี่ยวเหลือง โรคผลเน่าสีดำหรือโรคปลายผลเน่าดำ จะปล่อยทิ้งในแปลงหรือถอนต้นที่เป็นโรคแล้วปล่อยทิ้งในแปลง ไม่มีการเก็บชิ้นส่วนพืชที่ถูกโรคแมลงทำลายออกไปเผาทิ้งนอกแปลง ปล่อยผลเน่าไว้ในแปลง ก่อให้เกิดการสะสมเชื้อโรคและแพร่ขยายในแปลง นอกจากนั้นเกษตรกรจะฉีดพ่นสารเคมีโดยถือหลักฉีดป้องกันไว้ก่อนทั้งที่ยังไม่มีลักษณะอาการเกิด หรือการเข้าทำลายของโรคแมลง ทำให้มีการใช้สารเคมี มากเกินความจำเป็น เมื่อเจ้าหน้าที่สุ่มเก็บผลผลิตไปตรวจเพื่อขอรับรองแปลง GAP จึงมักจะพบสารตกค้างในผลผลิต ที่พบมากคือคลอไพรีฟอส และไซเปอร์เมทริน

การพัฒนาการผลิตมะเขือเทศ

ในปี 2551-2553 สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 3 ได้ดำเนินการพัฒนาการผลิตมะเขือเทศเพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนามาตรฐานคุณภาพการผลิตมะเขือเทศให้ปลอดภัยจากสารพิษ โดยมีกลุ่มเกษตรกรที่ปลูกมะเขือเทศอาสาเข้าร่วมทดสอบ นำเอาหลักการเกษตรดีที่เหมาะสมสำหรับมะเขือเทศ Good Agriculture Practice (GAP) ของกรมวิชาการเกษตร มาปรับใช้ให้เหมาะกับสภาพการผลิตของตนเอง ได้เน้นให้ความรู้เรื่องสุขอนามัยพืชโดยเฉพาะความสะอาดแปลงปลูกเก็บเศษซากพืชที่โดนทำลายออกไปเผาทิ้งนอกแปลง การตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของโรค และแมลงที่เข้าทำลายต้นพืช เพื่อที่จะป้องกัน และใช้สารเคมีในการแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องตรงตามสาเหตุที่พืชโดนทำลาย

การปลูก

พันธุ์มะเขือเทศที่เกษตรกรเลือกปลูก คือ พันธุ์ลูกผสม เพชรชมพู โดยมะเขือเทศพันธุ์ดังกล่าวค่อนข้างมีความต้านทานต่อโรคเหี่ยวเขียวให้ผลผลิตสูง และที่สำคัญคือผู้ขายส้มตำนิยมนำมะเขือเทศพันธุ์นี้ไปเป็นส่วนผสมในการทำส้มตำ การเพาะกล้าทำได้โดยทำแปลงกว้างประมาณ 1 เมตรโรยเมล็ดตามขวางของแปลงเพาะ ถอนแยกเมื่อต้นกล้าอายุ 7-10 วัน ลงถาดเพาะหลุมละ 1 ต้น วัสดุในถาดเพาะมีเพียง แกลบดิบเก่า: ดินจอมปลวก: ปุ๋ยคอก อัตรา 8 : 1 : 1 เพื่อให้โปร่งระบายน้ำได้ดี รดน้ำวันละ 2- 3 ครั้ง ในแปลงปลูกเตรียมดินโดยไถดิน 1-2 ครั้ง แต่ละครั้งตากดินทิ้งไว้ 7-14 วัน ผลการวิเคราะห์ดินแปลงปลูกของเกษตรกร ค่าความเป็นกรดเป็นด่างของดิน (pH) อยู่ระหว่าง 4.9- 5.6 ซึ่งเป็นสภาพที่เหมาะสมในการเกิดโรคในดิน เช่น รากเน่า โคนเน่า จึงใส่ปูนขาวในอัตรา 100 - 200 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อให้ค่า pH ของดินสูงขึ้นเหมาะสำหรับการเจริญเติบโตของมะเขือเทศ เมื่อต้นกล้าอายุ 25 - 30 วันปลูก โดยคัดต้นกล้าที่สมบูรณ์ ย้ายลงหลุมที่เตรียมไว้ปลูกแบบแถวเดี่ยวระยะระหว่างต้น 30 - 40 เซนติเมตรระหว่างแถว 100 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยหมักแห้งผสมเชื้อไตรโครเดอร์มาสดอัตรา 150 - 250 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อป้องกันโรคที่เกิดจาเชื้อราในดิน เช่น รากเน่า โคนเน่าหลังปลูกได้ 15 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 15 – 15 - 15 อัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่ออายุ 1 เดือนปักหลักขึงเชือกกันต้นล้ม และใส่ปุ๋ยสูตร 15 – 15 - 15 อัตรา 80 กิโลกรัมต่อไร่ ปุ๋ยยูเรีย อัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่ อายุ 45 - 50 วัน ขึงเชือกสูงขึ้นมาอีกเป็นชั้นที่ 2 พ่นสารแคลเซียมไนเตรท อัตรา 40 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตรช่วงติดผลเล็ก และพ่นแคลเซียมไนเตรทอัตรา 40-60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ระยะติดผล 2 ครั้ง หรือเมื่อพืชเริ่มแสดงอาการขาดธาตุอาหารรอง

การดูแลรักษา

การป้องกันกำจัดศัตรูพืช โรคเหี่ยวเขียว เหี่ยวเหลือง ใช้ปูนขาวปรับสภาพดิน รองพื้นด้วยปุ๋ยหมักแห้งผสมเชื้อไตรโครเดอร์มาอัตรา 200 - 300 กิโลกรัมต่อไร่ ถอนต้นที่เป็นโรคแล้วเผาทำลายใช้น้ำปูนใสรด หลุมที่เป็นโรคและต้นใกล้เคียง งดให้น้ำแบบปล่อยน้ำไหลตามร่อง โรคผลเน่าสีดำหรือโรคปลายผลเน่าดำ เพิ่มธาตุแคลเซียมแก่มะเขือเทศโดยการพ่นทางใบเมื่อมะเขือเทศเริ่มติดผล พ่นสารแคลเซียมไนเตรท อัตรา 40 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร เมื่อพบผลเน่าเก็บเผาทำลายนอกแปลง หนอนเจาะสมอฝ้าย พ่นเชื้อ BT อัตรา 60 - 80 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร สลับสารสกัดสมุนไพร จำนวน 1 - 2 ครั้ง เก็บตัวหนอนตอนกลางคืนมาทำลาย พ่นสารฟิโปรนิล อัตรา 20 - 30 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร จำนวน 1 ครั้ง เก็บผลผลิตที่โดนหนอนเจาะออกนอกแปลง

การเก็บเกี่ยว

หลังปลูกประมาณ 60 วัน เริ่มเก็บผลผลิตที่เริ่มสุกเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อน นำมาคัดเลือกผลที่ไม่มีตำหนิจากการทำลายของโรค และแมลง คัดขนาดผลที่ใกล้เคียงกันบรรจุลังพลาสติก ลังละ 25 กิโลกรัม ส่งขายเองที่ตลาดศรีเมืองทอง ซึ่งเป็นตลาดขายส่งพืชผักห่างจากแปลงประมาณ15 กิโลเมตร ขายส่งกิโลกรัมละ 10 - 45 บาท ผลผลิตมะเขือเทศในช่วงฤดูแล้ง (เก็บขายช่วงเดือนเมษายน) ได้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 3.7 - 4.0 ตันต่อไร่ ราคาเฉลี่ย 10 - 15 บาทต่อกิโลกรัม ในช่วงต้นฤดูฝนจะได้ไม่ดีนัก (เก็บขายช่วงเดือนสิงหาคม) ได้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 2.7 ตันต่อไร่ ราคาเฉลี่ย 12 - 20 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนผลผลิตในช่วงปลายฤดูฝน (เก็บขายช่วงเดือนพฤศจิกายน) ได้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 3.6 - 4.6 ตันต่อไร่ราคาเฉลี่ย 25 - 45 บาทต่อกิโลกรัม

ต้นทุนการผลิตและผลตอบแทน

ต้นทุนการผลิตมะเขือเทศ เฉลี่ยประมาณ 7,500 - 9,800 บาทต่อไร่ ซึ่งต้นทุนแตกต่างกันในแต่ฤดู ในช่วงฤดูฝนจะมีปัญหาในเรื่องโรคและแมลงมาก ทำให้มีต้นทุนในเรื่องของสารป้องกันกำจัดทั้งสารเคมีและสารชีวภาพสูงกว่าฤดูอื่น นอกจากนั้นจะเป็นต้นทุนด้านอื่น ๆ เช่น ค่าจ้างแรงงาน ซึ่งมีตั้งแต่ จ้างปลูก ค่าจ้างกำจัดวัชพืชใส่ ค่าจ้างเก็บผลผลิต และค่าปุ๋ยเคมี การนำเอาหลักการเกษตรดีที่เหมาะสมสำหรับมะเขือเทศ GAP มาปรับใช้ให้เหมาะกับสภาพการผลิตของเกษตรกร พบว่าต้นทุนการใช้สารเคมีจะลดลงร้อยละ 75 - 84 และในการสุ่มตรวจสารพิษตกค้างในผลผลิตไม่พบสารพิษตกค้างเลย ในด้านผลกำไร ต้นฤดูฝนผลผลิตออกค่อนข้างน้อยเป็นช่วงที่อากาศร้อนในเดือนเมษายนผลกำไรได้น้อยที่สุดเฉลี่ย 25,000 บาทต่อไร่ ส่วนปลายฤดูฝนจะได้ผลกำไรสูงที่สุด เฉลี่ย 69,000 บาทต่อไร่ ในบางปีถ้าสามารถดูแลรักษาให้ได้ผลผลิตดีและตรงช่วงที่ผลผลิตราคามะเขือเทศสูงถึงกิโลกรัมละ 40-45 บาท จะได้ผลกำไรถึง 140,000 บาทต่อไร่เลยทีเดียว

การวางแผนการผลิตมะเขือเทศให้ได้ราคาดี

นายนุสรณ์ สุวรรณอาสา หนึ่งในเกษตรกรที่ร่วมทดสอบในโครงการทดสอบชุดเทคโนโลยีการผลิตมะเขือเทศในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นของสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 3 มีแนวคิดว่าการผลิตมะเขือเทศพื้นที่ของตัวเอง มีศักยภาพการผลิตค่อนข้างสูง สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี อยู่ใกล้ตลาดขายส่งพืชผักที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด โดยปลูกมะเขือเทศพร้อมกัน 1 - 2 แปลง แปลงละ5 - 7 ไร่ ซึ่งเหลื่อมเวลาต่างกันประมาณ 1 - 2 เดือน โดยคาดการณ์ราคาผลผลิตที่ให้ราคาสูงในแต่ละช่วงของปี ซึ่งคาดการณ์ว่าช่วงที่ได้ราคาดีคือ ช่วงแรกเปิดเทอมต้น เดือนมิถุนายน ช่วงที่สองช่วงเข้าพรรษา เดือนกรกฎาคม และช่วงที่สามช่วงเก็บเกี่ยวข้าวเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม

นายอนุสรณ์ฯ จึงวางแผนปลูกให้มะเขือเทศออกผลผลิตเก็บขายได้ราคา ซึ่งโดยมากช่วงผลผลิตราคาสูงจะปลูกค่อนข้างยาก เช่นในช่วงการผลิตให้ออกผลผลิตในช่วงเดือนมิถุนายน ต้องปลูกต้นเดือนเมษายน ซึ่งอุณหภูมิสูง ไม่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของมะเขือเทศ ต้องมีการพรางแสงไม่ให้ร้อนเกินไป หรือช่วงเก็บเกี่ยวข้าวจะต้องปลูกเดือนกันยายน ซึ่งปริมาณฝนตกชุกดูแลรักษาต้นมะเขือเทศยากทั้งโรค และแมลง รบกวนดังนั้น จึงเห็นว่าการนำเอาเทคโนโลยีการผลิตมะเขือเทศแบบผสมผสานตามหลัก GAP ใส่ปุ๋ยหมักปรับปรุงบำรุงดิน ใส่ปูนขาวปรับสภาพดินเน้นความสะอาดแปลงปลูก เก็บเศษซากพืชที่โดนทำลายออกไปเผาทิ้งนอกแปลง สังเกตวินิจฉัยหาสาเหตุของโรคและแมลงที่เข้าทำลายต้นพืชมีการใช้สารเคมีที่ถูกต้อง แก้ไขปัญหาได้ตรงตามสาเหตุที่พืชโดนทำลาย จะช่วยให้สามารถดูแลแปลงให้ได้ผลผลิตดีขึ้น ดังเช่นในฤดูการผลิตปลายฤดูฝนปี 2551 กลุ่มเกษตรกรตำบลท่าพระผลิตได้ตามแผนที่วางไว้ แต่ในพื้นที่อื่นๆ ไม่สามารถผลิตได้ ทำให้ราคามะเขือเทศสูงถึง 35 - 45 บาทต่อกิโลกรัม เกษตรกรที่ปลูก 5 - 7 ไร่ จึงมีรายได้ 7 แสนถึง 1 ล้านบาท

จากเรื่องราวของมะเขือเทศ ที่ได้นำมาบอกเล่าให้กับผู้อ่าน นับว่าเป็นการใช้ความรู้ และประสบการณ์ที่สังสมมาเป็นระยะเวลานานของเกษตรกรผู้ปลูกมะเขือเทศในพื้นที่จริง เพื่อเป็นตัวอย่างในการประกอบอาชีพด้านการเกษตรอีกอาชีพหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ และเชื่อว่ากว่าจะมาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จเช่นนี้จะต้องผ่านอุปสรรคต่าง ๆ มามากมาย ต้องมีการเรียนรู้ ลองผิดลองถูกและมีการวางแผน ปรับปรุง พัฒนาการปลูกมะเขือเทศอย่างเป็นระบบ และต่อเนื่องจนสามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัวทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นอกจากนั้น ที่สำคัญไปกว่านั้นยังทำให้ผู้ที่ปลูกมะเขือเทศรายอื่นนำไปเป็นแบบอย่างได้อีกด้วย

ศักดิ์สิทธิ์ จรรยากรณ์
นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศ

สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 3 จังหวัดขอนแก่น
จดหมายข่าวผลิใบ http://it.doa.go.th/pibai/pibai/kayaipon.html

เคล็ด (ไม่) ลับ กับการปลูกพริกให้ทันช่วงราคาสูง


พริก (Capsicum annuum) ที่ปลูกในจังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ เป็นพริกขี้หนูผลใหญ่พันธุ์ซุปเปอร์ฮอท ช่อระย้า จินดา ม่วงแดงหัวเรือ ปลูกในสภาพไร่และสภาพนา พื้นที่ปลูก 24,000 ไร่ ผลผลิตพริกสดทั้งพริกเขียวและพริกแดงออกสู่ตลาดปีละมากกว่า 31,900 ตัน คิดเป็นมูลค่า 684 ล้านบาท

จากรายงานของบุญส่ง และคณะ พริกที่ให้ผลผลิตสามารถซื้อขายได้ในเดือนพฤศจิกายน จะหยุดให้ผลผลิตในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนของทุกปี ทั้งพริกเขียวและพริกแดงสด ช่วงพริกเขียวได้ราคาดีเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม ราคากิโลกรัมละ 20-25 บาท ส่วนพริกแดงได้ราคาดีในเดือนธันวาคม - กลางมกราคม กิโลกรัมละ 40-50 บาท โดยเฉพาะในปี 2550 ราคาสูงถึง 60-85 บาท/กก. แน่นอนว่าเกษตรกรทุกคนมีความฝันอยากจะขายได้ เพราะตั้งแต่เดือนมกราคม - มิถุนายน ราคาจะลดลงเรื่อยๆ จนถึง 8 บาท และ 15 บาทต่อกิโลกรัม ของพริกเขียวและพริกแดงตามลำดับ เกษตรกรจะหยุดขายเพื่อเก็บพริกสุกแดงเต็มที่ตากแห้ง จำหน่ายในรูปพริกแห้งแทน ดังนั้นจะจัดการอย่างไรจึงจะผลิตพริกออกจำหน่ายได้ทันราคาสูงตามต้องการ

1. ต้องมีที่ดอนน้ำไม่ท่วม ดินดี มีความเป็นกรด - ด่าง 6 - 6.8 มีอินทรียวัตถุ 1.5 % ฟอสฟอรัส 10 - 20 พีพีเอ็ม โปตัสเซียม 60 พีพีเอ็ม แคลเซียม 100-200 พีเอ็ม แมกนีเซียม 12-36 พีเอ็ม มีความร่วนซุยระบายน้ำได้ดี ไม่มีไส้เดือนฝอยรากปม

2. เริ่มเพาะต้นกล้าพริกตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม - กลางเดือนสิงหาคม เพื่อจะปลูกในเดือนกันยายน ในช่วงดังกล่าวฝนตกชุกที่สุดจะทำให้ต้นกล้าเน่า เพราะน้ำขังหรือดินแน่นเกษตรกรจะมีทางเลือก 2 ทาง
1. เพาะต้นกล้าในกะบะพลาสติก (ถาดหลุม) ถาดละ 104 หลุม ราคาใบละ 18 บาท โดยเตรียมวัสดุเพาะใส่ถาดหลุมประกอบด้วย
ดินผสม ได้แก่ ดิน : แกลบดำ : ปุ๋ยคอก = 4:1:1 นำดินผสมมารวมกับส่วนผสมของปุ๋ยหมักแห้ง + เชื้อไตรโคเดอร์มาสด + รำอ่อน
อัตรา (100 กก. + 1 กก. + 5 กก.) อัตราดินผสม : ส่วนผสมของปุ๋ยหมักแห้ง = 4 : 1
เมล็ดพันธุ์ที่จะนำมาเพาะต้องเป็นพันธุ์ดี ไม่มีโรคและแมลง ก่อนเพาะ 1 วัน ต้องนำไปแช่น้ำอุ่น 55 OC (น้ำเย็น 1 ส่วน + น้ำเดือด 1 ส่วน) นาน 20 นาที เพื่อฆ่าเชื้อแอนแทรคโนส(กุ้งแห้ง)ที่ติดมากับเมล็ดพันธุ์ได้
เมล็ดที่ลอยน้ำแสดงว่าลีบให้เก็บทิ้ง หลังจากนั้นนำไปแช่ในสารละลายสปอร์เชื้อไตรโคเดอร์มาสด (เชื้อสด 4 ถุง + น้ำ 100 ลิตร)
แช่เมล็ด 1 คืน จึงเพาะในกะบะหลุมละ 1 เมล็ด กลบดิน เก็บถาดในที่ร่มรำไร หรือมีตาข่ายพรางแสงอย่าให้ถูกฝนโดยตรง
หลังจากงอกได้ 15 วัน พ่นน้ำหมักชีวภาพสูตรบำรุงต้นอัตรา 2-3 ช้อนแกง/น้ำ 20 ลิตร(พ่นทุก 7-10 วัน) จะทำให้ต้นโตเร็วขึ้น ไม่ควรใช้ยูเรีย เพราะต้นกล้าจะอวบเกินไป เมื่อต้นกล้าอายุ 1 เดือนนำมาปลูกได้
2. เพาะต้นกล้าในแปลงที่อยู่ในที่ดอน ใช้ตาข่ายพรางแสงอย่าให้ถูกฝนดยตรง วิธีการเตรียมเมล็ดทำเหมือนเพาะในกะบะทุกอย่าง ส่วนวัสดุเพาะใช้เชื้อไตรโคเดอร์มาสด ผสมปุ๋ยหมักแห้งอัตรา 2-3 กก./10 ตารางเมตร ร่วมกับหว่านปูนขาว 0.5-1 กก./10 ตารางเมตรคลุกเคล้าให้เข้ากัน จึงหว่านเมล็ด กลบดินใช้ไม้ตีให้เมล็ดจมดินทุกเมล็ด อย่าให้เมล็ดอยู่เหนือดิน เมื่ออายุ 1 เดือน ถอนไปปลูกได้

3. การปลูกพริก ไม่ควรปลูกเกิน 15 กันยายน หลังเตรียมดินดีแล้ว พร้อมปรับสภาพดินโดยใส่ปูนขาวโดโลไมท์อัตรา 20-25 กก./ไร่ ก่อนปลูกรองพื้นด้วยปุ๋ยหมักแห้งอัตรา 150-200 กก./ไร่ (ผสมปุ๋ยหมักแห้ง 100 กก.+ เชื้อสด 4 ถุงๆละ 250 กรัม + รำ 5 กก.)เกษตรกรนิยมปลูกแบบ ปักดำ กดรากลงในดินจะทำให้โคนต้นช้ำง่าย ต้นกล้าจึงต้องใช้เวลาฟื้นตัวนาน ถ้าต้องการให้ต้นกล้าดูดอาหาร แตกกิ่งได้เร็วขึ้นควรปลูกแบบหลุม และยกร่องเพื่อป้องกันน้ำขัง ในหลุมรองพื้นด้วยปุ๋ยหมักแห้ง(ผสมปุ๋ยหมักแห้ง 100 กก.+ เชื้อสด 4 ถุงๆละ 250 กรัม + รำ 5 กก.) อัตราหลุมละ 100 กรัม ก่อนปลูกแช่รากพริกด้วยเชื้อสด 4 ถุงๆ ละ 250 กรัมละลายในน้ำ 100 ลิตร แช่นาน 30 นาที จนกว่าจะปลูกเสร็จ (ถ้าปลูกไม่เสร็จให้
ละลายเชื้อใหม่อย่าแช่รากทิ้งไว้) การปลูกแบบหลุมเมื่อรากฟื้นตัวจะดูดอาหารได้ทันที และป้องกันโรครากเน่าและโคนเน่าด้วย ซึ่งในฤดูฝนเสี่ยงต่อโรคในดินหลายชนิด ควรป้องกันไว้ก่อนดีกว่ากำจัดด้วยสารเคมี

4. การดูแลรักษาพริก หลังปลูก 15 วัน พ่นน้ำหมักชีวภาพสูตรบำรุงต้นอัตรา 2-3 ช้อนแกง/น้ำ 20 ลิตร(พ่นทุก 7-10 วันจนออกดอก) พ่นน้ำหมักชีวภาพสูตรบำรุงผลอัตรา 2-3 ช้อนแกง/น้ำ 20 ลิตร(พ่นทุก 7-10 วันจนถึงเก็บเกี่ยว) พ่นแคลเซียมไนเตรท อัตรา 30 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ในช่วงติดผลเล็กเพื่อแก้ปัญหาเกิดผลนิ่ม ปลายผลเหี่ยวเนื่องจากการขาดธาตุแคลเซียมและป้องกันไม่ให้เชื้อ Colletotrichum spp. สาเหตุโรคกุ้งแห้งเข้าทำลายซ้ำ พ่นสปอร์เชื้อสด 4 ถุงๆ ละ 250 กรัม+น้ำ 200 ลิตรร่วมกับน้ำหมักชีวภาพทุก 1 เดือน ถ้ามีไร โรค แมลงศัตรูทำลายให้ใช้สารเคมีตามความเหมาะสมหรือพ่นสลับกับน้ำหมักสมุนไพร

5. การให้ปุ๋ย ระยะ 1 เดือนแรก ก็ให้ทางดินร่วมกับทางใบเป็นหลัก โดยการให้ทางดินก็ให้สูตร 46-0-0 สลับกับ 15-0-0 หรือ 15-15-15 ในเดือนแรก ในอัตรา 5 กก.ต่อไร่/ครั้ง แต่ไม่เกิน 10 กก.ต่อไร่/ครั้ง ห่างกัน 7 วัน ส่วนทางใบใช้สูตร 20-20-20 สลับ 30-20-10 เพื่อเร่งการเจริญเติบโต ในอัตรา 10 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ระยะเดือนที่ 2-3 ระยะนี้พริกมีอายุ 30-90 วัน ซื่งมีการติดผลของพริกในชุดแรก ธาตุอาหารทางดินและทางใบยังจำเป็นเหมือนเดิม ทางดินใช้สูตร 15-15-15 สลับ 13-13-21 ส่วนทางใบใช้สูตร 15-0-0 เพื่อเพิ่มธาตุแคลเซียมในช่วงติดผลเล็ก ในอัตรา 30 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
ระยะเดือนที่ 4-6 ระยะนี้พริกมีอายุ 120-180 วัน ซื่งมีการเก็บผลผลิตของพริกในชุดแรกเก็บได้มาก ธาตุอาหารทางดินและทางใบยังจำเป็นเหมือนเดิม ทางดินใช้สูตร 15-15-15 สลับ13-13-21 ร่วมกับปุ๋ยหมักแห้งผสมเชื้อไตรโคเดอร์มาสด อัตรา 1:25 ส่วนทางใบใช้สูตร 20-20-20 สลับ 10-20-30 ในอัตรา 30 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ให้ปุ๋ยทุกครั้งหลังเก็บผลผลิตจำหน่าย

การทำปุ๋ยหมักแห้ง
1. ปุ๋ยคอก 3 ส่วน + แกลบดิบเก่า 3 ส่วน + แกลบดำ 1 ส่วน + กากน้ำตาลและน้ำหมักชีวภาพ
2. ปุ๋ยคอก 400 กก. + แกลบดิบเก่า 100 กก. + รำอ่อน 30 กก. + กากน้ำตาลและน้ำหมักชีวภาพ
3. ปุ๋ยคอก 3 ส่วน + กากถั่วเหลือง 3 ส่วน + แกลบดิบเก่า 2 ส่วน + แกลบดำ 1 ส่วน + กากน้ำตาลและน้ำหมักชีวภาพ (10 ลิตรต่อปุ๋ยหมัก 100 กก.)
4. ปุ๋ยคอก 3 ส่วน + กากตะกอนอ้อย 2 ส่วน + แกลบดิบเก่า 2 ส่วน + แกลบดำ 1 ส่วน + กากน้ำตาลและน้ำหมักชีวภาพ (10 ลิตรต่อปุ๋ยหมัก 100 กก.)

วิธีทำ
ผสมน้ำหมักชีวภาพและกากน้ำตาลในน้ำ ใส่บัวรดบนส่วนผสมที่มีปุ๋ยคอก แกลบ รำ โดยวนจากข้างนอกเข้าข้างใน อย่าให้แฉะถ้าแฉะมากความร้อนจะสูงและเป็นก้อนและอย่าแห้งเกินไป (กำปุ๋ยหมักถ้าเป็นก้อนความชื้นพอดี ถ้าแผ่กระจายจะแห้งเกินไป) หลังทำแล้ว 8 ชั่วโมง ความร้อนในกองปุ๋ยจะสูงมากให้กลับปุ๋ยในกองทุกวัน ประมาณ 7-10 วัน ความร้อนในกองจะปกติเก็บใส่ถุงไว้ใช้ต่อไป หรือถ้ามีถุงปุ๋ยให้กรอกใส่ถุงเลยเพื่อความสะดวกในการกลับกระสอบปุ๋ยหมักและการขนย้าย

พเยาว์ พรหมพันธุ์ใจ

นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ

สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 4 จังหวัดอุบลราชธานี
จดหมายข่าวผลิใบ. ก.ค. 2552, 12(6) หน้า 2-4