วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2554

ปลูกมะเขือเทศบริโภคสดอย่างไรให้ได้ราคาดี?

ส้มตำ นับได้ว่าเป็นอาหารจานโปรดของใครหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะเป็นคนในประเทศไทยของเราเองหรือชาวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวในบ้านเรา จนเป็นที่กล่าวขานและรู้จักส้มตำไปทั่วโลก คนที่กำลังมองหาวิธีลดน้ำหนักเชื่อว่าการรับประทานส้มตำ จะมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี ส้มตำมีหลายรูปแบบ และมีส่วนประกอบของเครื่องปรุงหลายอย่างแตกต่างกันไป แล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคลและเหมาะกับวัฒนธรรมการรับประทานของแต่ละภาค ส้มตำไทย ไม่ใส่ปลาร้า ใส่กุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่ว ส้มตำปู ใส่ปูเค็ม รสชาติออกเค็มนำ ส้มตำปลาร้า ใส่ปลาร้านิยมรับประทานกันมากในภาคอีสาน และที่จะขาดไม่ได้คือ มะเขือเทศที่จะเพิ่มรสชาติเปรี้ยวหวานให้ส้มตำมีความอร่อยมากยิ่งขึ้น

มะเขือเทศที่ปลูกในปัจจุบันแบ่งเป็น มะเขือเทศรับประทานผลสด และมะเขือเทศอุตสาหกรรม มะเขือเทศบริโภคสดส่วนใหญ่เป็นพันธุ์สีดาในปี 2551 ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูก 52,000 ไร่ ผลผลิต 191,000 ตัน ในปี 2552 การส่งออกมะเขือเทศสดมีมูลค่า 118 ล้านบาท ซอสมะเขือเทศมูลค่า 188.6 ล้านบาท มะเขือเทศสามารถเจริญเติบโตทางด้านลำต้น ใบ และออกดอกได้ดีตลอดทั้งปี แต่การติดผลต้องการสภาพอากาศค่อนข้าง เย็น อุณหภูมิกลางวันที่เหมาะสมอยู่ที่ระหว่าง 25 - 30 องศาเซลเซียส กลางคืนประมาณ 16 - 20 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิกลางคืนสูงกว่า 22 องศาเซลเซียส จะทำให้ไม่ติดผลหรือติดผลได้น้อยมาก ฝนและความชื้นสูงเป็นสาเหตุสำคัญทำให้โรคทางใบและทางรากระบาดรุนแรง ฤดูปลูกมะเขือเทศที่เหมาะสมที่สุดจะอยู่ในช่วงฤดูหนาว ทำให้มะเขือเทศมีปริมาณมาก ราคาตกต่ำ ดังนั้น ควรวางแผนการปลูกให้มะเขือเทศสามารถออกผลผลิตได้ในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม โดยต้องเริ่มปลูกในช่วงเดือนสิงหาคม แต่ในช่วงดังกล่าวจะมีฝนตกชุก เกษตรกรที่ต้องการผลิตมะเขือเทศให้ได้ผลผลิตสูงและขายได้ราคาดี จึงจำเป็นต้องรู้จักคิดและวางแผนการปลูกให้มีผลผลิตออกตรงช่วงที่ราคาสูง เช่น กลุ่มเกษตรกรที่บ้านห้วยเตย หมู่ 9 และหมู่ 16 บ้านเกษตรก้าวหน้า หมู่ 22 ตำบลท่าพระ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น มีอ่างเก็บน้ำห้วยเตย อยู่ทางตอนใต้ของตำบล สามารถหล่อเลี้ยงพื้นที่ทำการเกษตรของหมู่บ้านได้ตลอดทั้งปี

สภาพพื้นที่ มีเนื้อเป็นดินร่วนปนทราย ที่ดอนปลูกมันสำปะหลังและอ้อย บริเวณใกล้แหล่งน้ำปลูกพืชผัก เช่น มะเขือเทศ พริก มะเขือเปราะ ข้อได้เปรียบของพื้นที่ คือ แปลงอยู่ห่างจากตลาดศรีเมืองทองซึ่งเป็นตลาดขายส่งพืชผักในตัวเมืองขอนแก่นประมาณ 15 กิโลเมตร เกษตรกรเก็บผลผลิตส่งขายตลาดโดยตรง ทำให้ขายได้ราคาดี ซึ่งราคาขายส่งตลาดศรีเมืองทองใกล้เคียงกับราคาขายส่งในกรุงเทพฯ เช่น ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง เป็นต้น จึงได้เปรียบในด้านราคาเมื่อเปรียบเทียบกับเกษตรกรในอำเภออื่นๆ รอบนอก ภายในระยะเวลา 1 ปี เกษตรกรสามารถปลูกมะเขือเทศได้ 3 ฤดูปลูก ครั้งที่ 1 ฤดูแล้งเริ่มเพาะกล้าเดือนมกราคม ปลูกเดือนกุมภาพันธ์ เก็บเกี่ยวเดือนเมษายน ครั้งที่ 2 ต้นฤดูฝนเริ่มเพาะกล้าเดือนพฤษภาคม ปลูกเดือนมิถุนายน เก็บเกี่ยวเดือนสิงหาคม และครั้งที่ 3 ปลายฤดูฝนเริ่มเพาะกล้าเดือนสิงหาคม ปลูกเดือนกันยายน เก็บเกี่ยวเดือนพฤศจิกายน ซึ่งแต่ละฤดูปลูกอาจจะเหลื่อมเวลาตามความพร้อมของเกษตรกรและความเหมาะสมของสภาพอากาศขณะนั้น ซึ่งราคามะเขือเทศเฉลี่ยในแต่ละเดือนจะแตกต่างกันจะได้ราคาสูงที่สุดในช่วงเดือนตุลาคมธันวาคม

การปลูกมะเขือเทศพื้นที่ตำบลท่าพระ มีปัญหาการผลิตคือ ในฤดูแล้งพบปัญหาโรคเหี่ยวเขียว หนอนเจาะผล และผลเน่าสีดำและไส้เดือนฝอย ส่วนฤดูฝน พบปัญหา โรคใบด่าง โรคใบไหม้ หนอนเจาะผล และผลเน่าดำ เกษตรกรไม่มีความรู้ในการแยกแยะปัญหาที่เกิดขึ้น การปฏิบัติเดิมของเกษตรกรเมื่อเกิดโรค เช่น โรคเหี่ยวเขียว เหี่ยวเหลือง โรคผลเน่าสีดำหรือโรคปลายผลเน่าดำ จะปล่อยทิ้งในแปลงหรือถอนต้นที่เป็นโรคแล้วปล่อยทิ้งในแปลง ไม่มีการเก็บชิ้นส่วนพืชที่ถูกโรคแมลงทำลายออกไปเผาทิ้งนอกแปลง ปล่อยผลเน่าไว้ในแปลง ก่อให้เกิดการสะสมเชื้อโรคและแพร่ขยายในแปลง นอกจากนั้นเกษตรกรจะฉีดพ่นสารเคมีโดยถือหลักฉีดป้องกันไว้ก่อนทั้งที่ยังไม่มีลักษณะอาการเกิด หรือการเข้าทำลายของโรคแมลง ทำให้มีการใช้สารเคมี มากเกินความจำเป็น เมื่อเจ้าหน้าที่สุ่มเก็บผลผลิตไปตรวจเพื่อขอรับรองแปลง GAP จึงมักจะพบสารตกค้างในผลผลิต ที่พบมากคือคลอไพรีฟอส และไซเปอร์เมทริน

การพัฒนาการผลิตมะเขือเทศ

ในปี 2551-2553 สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 3 ได้ดำเนินการพัฒนาการผลิตมะเขือเทศเพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนามาตรฐานคุณภาพการผลิตมะเขือเทศให้ปลอดภัยจากสารพิษ โดยมีกลุ่มเกษตรกรที่ปลูกมะเขือเทศอาสาเข้าร่วมทดสอบ นำเอาหลักการเกษตรดีที่เหมาะสมสำหรับมะเขือเทศ Good Agriculture Practice (GAP) ของกรมวิชาการเกษตร มาปรับใช้ให้เหมาะกับสภาพการผลิตของตนเอง ได้เน้นให้ความรู้เรื่องสุขอนามัยพืชโดยเฉพาะความสะอาดแปลงปลูกเก็บเศษซากพืชที่โดนทำลายออกไปเผาทิ้งนอกแปลง การตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของโรค และแมลงที่เข้าทำลายต้นพืช เพื่อที่จะป้องกัน และใช้สารเคมีในการแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องตรงตามสาเหตุที่พืชโดนทำลาย

การปลูก

พันธุ์มะเขือเทศที่เกษตรกรเลือกปลูก คือ พันธุ์ลูกผสม เพชรชมพู โดยมะเขือเทศพันธุ์ดังกล่าวค่อนข้างมีความต้านทานต่อโรคเหี่ยวเขียวให้ผลผลิตสูง และที่สำคัญคือผู้ขายส้มตำนิยมนำมะเขือเทศพันธุ์นี้ไปเป็นส่วนผสมในการทำส้มตำ การเพาะกล้าทำได้โดยทำแปลงกว้างประมาณ 1 เมตรโรยเมล็ดตามขวางของแปลงเพาะ ถอนแยกเมื่อต้นกล้าอายุ 7-10 วัน ลงถาดเพาะหลุมละ 1 ต้น วัสดุในถาดเพาะมีเพียง แกลบดิบเก่า: ดินจอมปลวก: ปุ๋ยคอก อัตรา 8 : 1 : 1 เพื่อให้โปร่งระบายน้ำได้ดี รดน้ำวันละ 2- 3 ครั้ง ในแปลงปลูกเตรียมดินโดยไถดิน 1-2 ครั้ง แต่ละครั้งตากดินทิ้งไว้ 7-14 วัน ผลการวิเคราะห์ดินแปลงปลูกของเกษตรกร ค่าความเป็นกรดเป็นด่างของดิน (pH) อยู่ระหว่าง 4.9- 5.6 ซึ่งเป็นสภาพที่เหมาะสมในการเกิดโรคในดิน เช่น รากเน่า โคนเน่า จึงใส่ปูนขาวในอัตรา 100 - 200 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อให้ค่า pH ของดินสูงขึ้นเหมาะสำหรับการเจริญเติบโตของมะเขือเทศ เมื่อต้นกล้าอายุ 25 - 30 วันปลูก โดยคัดต้นกล้าที่สมบูรณ์ ย้ายลงหลุมที่เตรียมไว้ปลูกแบบแถวเดี่ยวระยะระหว่างต้น 30 - 40 เซนติเมตรระหว่างแถว 100 เซนติเมตร ใส่ปุ๋ยหมักแห้งผสมเชื้อไตรโครเดอร์มาสดอัตรา 150 - 250 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อป้องกันโรคที่เกิดจาเชื้อราในดิน เช่น รากเน่า โคนเน่าหลังปลูกได้ 15 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 15 – 15 - 15 อัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่ออายุ 1 เดือนปักหลักขึงเชือกกันต้นล้ม และใส่ปุ๋ยสูตร 15 – 15 - 15 อัตรา 80 กิโลกรัมต่อไร่ ปุ๋ยยูเรีย อัตรา 20 กิโลกรัมต่อไร่ อายุ 45 - 50 วัน ขึงเชือกสูงขึ้นมาอีกเป็นชั้นที่ 2 พ่นสารแคลเซียมไนเตรท อัตรา 40 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตรช่วงติดผลเล็ก และพ่นแคลเซียมไนเตรทอัตรา 40-60 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ระยะติดผล 2 ครั้ง หรือเมื่อพืชเริ่มแสดงอาการขาดธาตุอาหารรอง

การดูแลรักษา

การป้องกันกำจัดศัตรูพืช โรคเหี่ยวเขียว เหี่ยวเหลือง ใช้ปูนขาวปรับสภาพดิน รองพื้นด้วยปุ๋ยหมักแห้งผสมเชื้อไตรโครเดอร์มาอัตรา 200 - 300 กิโลกรัมต่อไร่ ถอนต้นที่เป็นโรคแล้วเผาทำลายใช้น้ำปูนใสรด หลุมที่เป็นโรคและต้นใกล้เคียง งดให้น้ำแบบปล่อยน้ำไหลตามร่อง โรคผลเน่าสีดำหรือโรคปลายผลเน่าดำ เพิ่มธาตุแคลเซียมแก่มะเขือเทศโดยการพ่นทางใบเมื่อมะเขือเทศเริ่มติดผล พ่นสารแคลเซียมไนเตรท อัตรา 40 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร เมื่อพบผลเน่าเก็บเผาทำลายนอกแปลง หนอนเจาะสมอฝ้าย พ่นเชื้อ BT อัตรา 60 - 80 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร สลับสารสกัดสมุนไพร จำนวน 1 - 2 ครั้ง เก็บตัวหนอนตอนกลางคืนมาทำลาย พ่นสารฟิโปรนิล อัตรา 20 - 30 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร จำนวน 1 ครั้ง เก็บผลผลิตที่โดนหนอนเจาะออกนอกแปลง

การเก็บเกี่ยว

หลังปลูกประมาณ 60 วัน เริ่มเก็บผลผลิตที่เริ่มสุกเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อน นำมาคัดเลือกผลที่ไม่มีตำหนิจากการทำลายของโรค และแมลง คัดขนาดผลที่ใกล้เคียงกันบรรจุลังพลาสติก ลังละ 25 กิโลกรัม ส่งขายเองที่ตลาดศรีเมืองทอง ซึ่งเป็นตลาดขายส่งพืชผักห่างจากแปลงประมาณ15 กิโลเมตร ขายส่งกิโลกรัมละ 10 - 45 บาท ผลผลิตมะเขือเทศในช่วงฤดูแล้ง (เก็บขายช่วงเดือนเมษายน) ได้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 3.7 - 4.0 ตันต่อไร่ ราคาเฉลี่ย 10 - 15 บาทต่อกิโลกรัม ในช่วงต้นฤดูฝนจะได้ไม่ดีนัก (เก็บขายช่วงเดือนสิงหาคม) ได้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 2.7 ตันต่อไร่ ราคาเฉลี่ย 12 - 20 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนผลผลิตในช่วงปลายฤดูฝน (เก็บขายช่วงเดือนพฤศจิกายน) ได้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 3.6 - 4.6 ตันต่อไร่ราคาเฉลี่ย 25 - 45 บาทต่อกิโลกรัม

ต้นทุนการผลิตและผลตอบแทน

ต้นทุนการผลิตมะเขือเทศ เฉลี่ยประมาณ 7,500 - 9,800 บาทต่อไร่ ซึ่งต้นทุนแตกต่างกันในแต่ฤดู ในช่วงฤดูฝนจะมีปัญหาในเรื่องโรคและแมลงมาก ทำให้มีต้นทุนในเรื่องของสารป้องกันกำจัดทั้งสารเคมีและสารชีวภาพสูงกว่าฤดูอื่น นอกจากนั้นจะเป็นต้นทุนด้านอื่น ๆ เช่น ค่าจ้างแรงงาน ซึ่งมีตั้งแต่ จ้างปลูก ค่าจ้างกำจัดวัชพืชใส่ ค่าจ้างเก็บผลผลิต และค่าปุ๋ยเคมี การนำเอาหลักการเกษตรดีที่เหมาะสมสำหรับมะเขือเทศ GAP มาปรับใช้ให้เหมาะกับสภาพการผลิตของเกษตรกร พบว่าต้นทุนการใช้สารเคมีจะลดลงร้อยละ 75 - 84 และในการสุ่มตรวจสารพิษตกค้างในผลผลิตไม่พบสารพิษตกค้างเลย ในด้านผลกำไร ต้นฤดูฝนผลผลิตออกค่อนข้างน้อยเป็นช่วงที่อากาศร้อนในเดือนเมษายนผลกำไรได้น้อยที่สุดเฉลี่ย 25,000 บาทต่อไร่ ส่วนปลายฤดูฝนจะได้ผลกำไรสูงที่สุด เฉลี่ย 69,000 บาทต่อไร่ ในบางปีถ้าสามารถดูแลรักษาให้ได้ผลผลิตดีและตรงช่วงที่ผลผลิตราคามะเขือเทศสูงถึงกิโลกรัมละ 40-45 บาท จะได้ผลกำไรถึง 140,000 บาทต่อไร่เลยทีเดียว

การวางแผนการผลิตมะเขือเทศให้ได้ราคาดี

นายนุสรณ์ สุวรรณอาสา หนึ่งในเกษตรกรที่ร่วมทดสอบในโครงการทดสอบชุดเทคโนโลยีการผลิตมะเขือเทศในพื้นที่จังหวัดขอนแก่นของสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 3 มีแนวคิดว่าการผลิตมะเขือเทศพื้นที่ของตัวเอง มีศักยภาพการผลิตค่อนข้างสูง สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี อยู่ใกล้ตลาดขายส่งพืชผักที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด โดยปลูกมะเขือเทศพร้อมกัน 1 - 2 แปลง แปลงละ5 - 7 ไร่ ซึ่งเหลื่อมเวลาต่างกันประมาณ 1 - 2 เดือน โดยคาดการณ์ราคาผลผลิตที่ให้ราคาสูงในแต่ละช่วงของปี ซึ่งคาดการณ์ว่าช่วงที่ได้ราคาดีคือ ช่วงแรกเปิดเทอมต้น เดือนมิถุนายน ช่วงที่สองช่วงเข้าพรรษา เดือนกรกฎาคม และช่วงที่สามช่วงเก็บเกี่ยวข้าวเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม

นายอนุสรณ์ฯ จึงวางแผนปลูกให้มะเขือเทศออกผลผลิตเก็บขายได้ราคา ซึ่งโดยมากช่วงผลผลิตราคาสูงจะปลูกค่อนข้างยาก เช่นในช่วงการผลิตให้ออกผลผลิตในช่วงเดือนมิถุนายน ต้องปลูกต้นเดือนเมษายน ซึ่งอุณหภูมิสูง ไม่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของมะเขือเทศ ต้องมีการพรางแสงไม่ให้ร้อนเกินไป หรือช่วงเก็บเกี่ยวข้าวจะต้องปลูกเดือนกันยายน ซึ่งปริมาณฝนตกชุกดูแลรักษาต้นมะเขือเทศยากทั้งโรค และแมลง รบกวนดังนั้น จึงเห็นว่าการนำเอาเทคโนโลยีการผลิตมะเขือเทศแบบผสมผสานตามหลัก GAP ใส่ปุ๋ยหมักปรับปรุงบำรุงดิน ใส่ปูนขาวปรับสภาพดินเน้นความสะอาดแปลงปลูก เก็บเศษซากพืชที่โดนทำลายออกไปเผาทิ้งนอกแปลง สังเกตวินิจฉัยหาสาเหตุของโรคและแมลงที่เข้าทำลายต้นพืชมีการใช้สารเคมีที่ถูกต้อง แก้ไขปัญหาได้ตรงตามสาเหตุที่พืชโดนทำลาย จะช่วยให้สามารถดูแลแปลงให้ได้ผลผลิตดีขึ้น ดังเช่นในฤดูการผลิตปลายฤดูฝนปี 2551 กลุ่มเกษตรกรตำบลท่าพระผลิตได้ตามแผนที่วางไว้ แต่ในพื้นที่อื่นๆ ไม่สามารถผลิตได้ ทำให้ราคามะเขือเทศสูงถึง 35 - 45 บาทต่อกิโลกรัม เกษตรกรที่ปลูก 5 - 7 ไร่ จึงมีรายได้ 7 แสนถึง 1 ล้านบาท

จากเรื่องราวของมะเขือเทศ ที่ได้นำมาบอกเล่าให้กับผู้อ่าน นับว่าเป็นการใช้ความรู้ และประสบการณ์ที่สังสมมาเป็นระยะเวลานานของเกษตรกรผู้ปลูกมะเขือเทศในพื้นที่จริง เพื่อเป็นตัวอย่างในการประกอบอาชีพด้านการเกษตรอีกอาชีพหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ และเชื่อว่ากว่าจะมาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จเช่นนี้จะต้องผ่านอุปสรรคต่าง ๆ มามากมาย ต้องมีการเรียนรู้ ลองผิดลองถูกและมีการวางแผน ปรับปรุง พัฒนาการปลูกมะเขือเทศอย่างเป็นระบบ และต่อเนื่องจนสามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัวทำให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นอกจากนั้น ที่สำคัญไปกว่านั้นยังทำให้ผู้ที่ปลูกมะเขือเทศรายอื่นนำไปเป็นแบบอย่างได้อีกด้วย

ศักดิ์สิทธิ์ จรรยากรณ์
นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศ

สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 3 จังหวัดขอนแก่น
จดหมายข่าวผลิใบ http://it.doa.go.th/pibai/pibai/kayaipon.html

เคล็ด (ไม่) ลับ กับการปลูกพริกให้ทันช่วงราคาสูง


พริก (Capsicum annuum) ที่ปลูกในจังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ เป็นพริกขี้หนูผลใหญ่พันธุ์ซุปเปอร์ฮอท ช่อระย้า จินดา ม่วงแดงหัวเรือ ปลูกในสภาพไร่และสภาพนา พื้นที่ปลูก 24,000 ไร่ ผลผลิตพริกสดทั้งพริกเขียวและพริกแดงออกสู่ตลาดปีละมากกว่า 31,900 ตัน คิดเป็นมูลค่า 684 ล้านบาท

จากรายงานของบุญส่ง และคณะ พริกที่ให้ผลผลิตสามารถซื้อขายได้ในเดือนพฤศจิกายน จะหยุดให้ผลผลิตในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายนของทุกปี ทั้งพริกเขียวและพริกแดงสด ช่วงพริกเขียวได้ราคาดีเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม ราคากิโลกรัมละ 20-25 บาท ส่วนพริกแดงได้ราคาดีในเดือนธันวาคม - กลางมกราคม กิโลกรัมละ 40-50 บาท โดยเฉพาะในปี 2550 ราคาสูงถึง 60-85 บาท/กก. แน่นอนว่าเกษตรกรทุกคนมีความฝันอยากจะขายได้ เพราะตั้งแต่เดือนมกราคม - มิถุนายน ราคาจะลดลงเรื่อยๆ จนถึง 8 บาท และ 15 บาทต่อกิโลกรัม ของพริกเขียวและพริกแดงตามลำดับ เกษตรกรจะหยุดขายเพื่อเก็บพริกสุกแดงเต็มที่ตากแห้ง จำหน่ายในรูปพริกแห้งแทน ดังนั้นจะจัดการอย่างไรจึงจะผลิตพริกออกจำหน่ายได้ทันราคาสูงตามต้องการ

1. ต้องมีที่ดอนน้ำไม่ท่วม ดินดี มีความเป็นกรด - ด่าง 6 - 6.8 มีอินทรียวัตถุ 1.5 % ฟอสฟอรัส 10 - 20 พีพีเอ็ม โปตัสเซียม 60 พีพีเอ็ม แคลเซียม 100-200 พีเอ็ม แมกนีเซียม 12-36 พีเอ็ม มีความร่วนซุยระบายน้ำได้ดี ไม่มีไส้เดือนฝอยรากปม

2. เริ่มเพาะต้นกล้าพริกตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม - กลางเดือนสิงหาคม เพื่อจะปลูกในเดือนกันยายน ในช่วงดังกล่าวฝนตกชุกที่สุดจะทำให้ต้นกล้าเน่า เพราะน้ำขังหรือดินแน่นเกษตรกรจะมีทางเลือก 2 ทาง
1. เพาะต้นกล้าในกะบะพลาสติก (ถาดหลุม) ถาดละ 104 หลุม ราคาใบละ 18 บาท โดยเตรียมวัสดุเพาะใส่ถาดหลุมประกอบด้วย
ดินผสม ได้แก่ ดิน : แกลบดำ : ปุ๋ยคอก = 4:1:1 นำดินผสมมารวมกับส่วนผสมของปุ๋ยหมักแห้ง + เชื้อไตรโคเดอร์มาสด + รำอ่อน
อัตรา (100 กก. + 1 กก. + 5 กก.) อัตราดินผสม : ส่วนผสมของปุ๋ยหมักแห้ง = 4 : 1
เมล็ดพันธุ์ที่จะนำมาเพาะต้องเป็นพันธุ์ดี ไม่มีโรคและแมลง ก่อนเพาะ 1 วัน ต้องนำไปแช่น้ำอุ่น 55 OC (น้ำเย็น 1 ส่วน + น้ำเดือด 1 ส่วน) นาน 20 นาที เพื่อฆ่าเชื้อแอนแทรคโนส(กุ้งแห้ง)ที่ติดมากับเมล็ดพันธุ์ได้
เมล็ดที่ลอยน้ำแสดงว่าลีบให้เก็บทิ้ง หลังจากนั้นนำไปแช่ในสารละลายสปอร์เชื้อไตรโคเดอร์มาสด (เชื้อสด 4 ถุง + น้ำ 100 ลิตร)
แช่เมล็ด 1 คืน จึงเพาะในกะบะหลุมละ 1 เมล็ด กลบดิน เก็บถาดในที่ร่มรำไร หรือมีตาข่ายพรางแสงอย่าให้ถูกฝนโดยตรง
หลังจากงอกได้ 15 วัน พ่นน้ำหมักชีวภาพสูตรบำรุงต้นอัตรา 2-3 ช้อนแกง/น้ำ 20 ลิตร(พ่นทุก 7-10 วัน) จะทำให้ต้นโตเร็วขึ้น ไม่ควรใช้ยูเรีย เพราะต้นกล้าจะอวบเกินไป เมื่อต้นกล้าอายุ 1 เดือนนำมาปลูกได้
2. เพาะต้นกล้าในแปลงที่อยู่ในที่ดอน ใช้ตาข่ายพรางแสงอย่าให้ถูกฝนดยตรง วิธีการเตรียมเมล็ดทำเหมือนเพาะในกะบะทุกอย่าง ส่วนวัสดุเพาะใช้เชื้อไตรโคเดอร์มาสด ผสมปุ๋ยหมักแห้งอัตรา 2-3 กก./10 ตารางเมตร ร่วมกับหว่านปูนขาว 0.5-1 กก./10 ตารางเมตรคลุกเคล้าให้เข้ากัน จึงหว่านเมล็ด กลบดินใช้ไม้ตีให้เมล็ดจมดินทุกเมล็ด อย่าให้เมล็ดอยู่เหนือดิน เมื่ออายุ 1 เดือน ถอนไปปลูกได้

3. การปลูกพริก ไม่ควรปลูกเกิน 15 กันยายน หลังเตรียมดินดีแล้ว พร้อมปรับสภาพดินโดยใส่ปูนขาวโดโลไมท์อัตรา 20-25 กก./ไร่ ก่อนปลูกรองพื้นด้วยปุ๋ยหมักแห้งอัตรา 150-200 กก./ไร่ (ผสมปุ๋ยหมักแห้ง 100 กก.+ เชื้อสด 4 ถุงๆละ 250 กรัม + รำ 5 กก.)เกษตรกรนิยมปลูกแบบ ปักดำ กดรากลงในดินจะทำให้โคนต้นช้ำง่าย ต้นกล้าจึงต้องใช้เวลาฟื้นตัวนาน ถ้าต้องการให้ต้นกล้าดูดอาหาร แตกกิ่งได้เร็วขึ้นควรปลูกแบบหลุม และยกร่องเพื่อป้องกันน้ำขัง ในหลุมรองพื้นด้วยปุ๋ยหมักแห้ง(ผสมปุ๋ยหมักแห้ง 100 กก.+ เชื้อสด 4 ถุงๆละ 250 กรัม + รำ 5 กก.) อัตราหลุมละ 100 กรัม ก่อนปลูกแช่รากพริกด้วยเชื้อสด 4 ถุงๆ ละ 250 กรัมละลายในน้ำ 100 ลิตร แช่นาน 30 นาที จนกว่าจะปลูกเสร็จ (ถ้าปลูกไม่เสร็จให้
ละลายเชื้อใหม่อย่าแช่รากทิ้งไว้) การปลูกแบบหลุมเมื่อรากฟื้นตัวจะดูดอาหารได้ทันที และป้องกันโรครากเน่าและโคนเน่าด้วย ซึ่งในฤดูฝนเสี่ยงต่อโรคในดินหลายชนิด ควรป้องกันไว้ก่อนดีกว่ากำจัดด้วยสารเคมี

4. การดูแลรักษาพริก หลังปลูก 15 วัน พ่นน้ำหมักชีวภาพสูตรบำรุงต้นอัตรา 2-3 ช้อนแกง/น้ำ 20 ลิตร(พ่นทุก 7-10 วันจนออกดอก) พ่นน้ำหมักชีวภาพสูตรบำรุงผลอัตรา 2-3 ช้อนแกง/น้ำ 20 ลิตร(พ่นทุก 7-10 วันจนถึงเก็บเกี่ยว) พ่นแคลเซียมไนเตรท อัตรา 30 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ในช่วงติดผลเล็กเพื่อแก้ปัญหาเกิดผลนิ่ม ปลายผลเหี่ยวเนื่องจากการขาดธาตุแคลเซียมและป้องกันไม่ให้เชื้อ Colletotrichum spp. สาเหตุโรคกุ้งแห้งเข้าทำลายซ้ำ พ่นสปอร์เชื้อสด 4 ถุงๆ ละ 250 กรัม+น้ำ 200 ลิตรร่วมกับน้ำหมักชีวภาพทุก 1 เดือน ถ้ามีไร โรค แมลงศัตรูทำลายให้ใช้สารเคมีตามความเหมาะสมหรือพ่นสลับกับน้ำหมักสมุนไพร

5. การให้ปุ๋ย ระยะ 1 เดือนแรก ก็ให้ทางดินร่วมกับทางใบเป็นหลัก โดยการให้ทางดินก็ให้สูตร 46-0-0 สลับกับ 15-0-0 หรือ 15-15-15 ในเดือนแรก ในอัตรา 5 กก.ต่อไร่/ครั้ง แต่ไม่เกิน 10 กก.ต่อไร่/ครั้ง ห่างกัน 7 วัน ส่วนทางใบใช้สูตร 20-20-20 สลับ 30-20-10 เพื่อเร่งการเจริญเติบโต ในอัตรา 10 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ระยะเดือนที่ 2-3 ระยะนี้พริกมีอายุ 30-90 วัน ซื่งมีการติดผลของพริกในชุดแรก ธาตุอาหารทางดินและทางใบยังจำเป็นเหมือนเดิม ทางดินใช้สูตร 15-15-15 สลับ 13-13-21 ส่วนทางใบใช้สูตร 15-0-0 เพื่อเพิ่มธาตุแคลเซียมในช่วงติดผลเล็ก ในอัตรา 30 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
ระยะเดือนที่ 4-6 ระยะนี้พริกมีอายุ 120-180 วัน ซื่งมีการเก็บผลผลิตของพริกในชุดแรกเก็บได้มาก ธาตุอาหารทางดินและทางใบยังจำเป็นเหมือนเดิม ทางดินใช้สูตร 15-15-15 สลับ13-13-21 ร่วมกับปุ๋ยหมักแห้งผสมเชื้อไตรโคเดอร์มาสด อัตรา 1:25 ส่วนทางใบใช้สูตร 20-20-20 สลับ 10-20-30 ในอัตรา 30 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ให้ปุ๋ยทุกครั้งหลังเก็บผลผลิตจำหน่าย

การทำปุ๋ยหมักแห้ง
1. ปุ๋ยคอก 3 ส่วน + แกลบดิบเก่า 3 ส่วน + แกลบดำ 1 ส่วน + กากน้ำตาลและน้ำหมักชีวภาพ
2. ปุ๋ยคอก 400 กก. + แกลบดิบเก่า 100 กก. + รำอ่อน 30 กก. + กากน้ำตาลและน้ำหมักชีวภาพ
3. ปุ๋ยคอก 3 ส่วน + กากถั่วเหลือง 3 ส่วน + แกลบดิบเก่า 2 ส่วน + แกลบดำ 1 ส่วน + กากน้ำตาลและน้ำหมักชีวภาพ (10 ลิตรต่อปุ๋ยหมัก 100 กก.)
4. ปุ๋ยคอก 3 ส่วน + กากตะกอนอ้อย 2 ส่วน + แกลบดิบเก่า 2 ส่วน + แกลบดำ 1 ส่วน + กากน้ำตาลและน้ำหมักชีวภาพ (10 ลิตรต่อปุ๋ยหมัก 100 กก.)

วิธีทำ
ผสมน้ำหมักชีวภาพและกากน้ำตาลในน้ำ ใส่บัวรดบนส่วนผสมที่มีปุ๋ยคอก แกลบ รำ โดยวนจากข้างนอกเข้าข้างใน อย่าให้แฉะถ้าแฉะมากความร้อนจะสูงและเป็นก้อนและอย่าแห้งเกินไป (กำปุ๋ยหมักถ้าเป็นก้อนความชื้นพอดี ถ้าแผ่กระจายจะแห้งเกินไป) หลังทำแล้ว 8 ชั่วโมง ความร้อนในกองปุ๋ยจะสูงมากให้กลับปุ๋ยในกองทุกวัน ประมาณ 7-10 วัน ความร้อนในกองจะปกติเก็บใส่ถุงไว้ใช้ต่อไป หรือถ้ามีถุงปุ๋ยให้กรอกใส่ถุงเลยเพื่อความสะดวกในการกลับกระสอบปุ๋ยหมักและการขนย้าย

พเยาว์ พรหมพันธุ์ใจ

นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ

สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 4 จังหวัดอุบลราชธานี
จดหมายข่าวผลิใบ. ก.ค. 2552, 12(6) หน้า 2-4

วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แก้ข่าวหอมแดงที่ อ.ราษีไศลเกิดโรคระบาด



จังหวัดศรีสะเกษเป็นแหล่งปลูกหอมแดงขนาดใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีเนื้อที่เพาะปลูกมากกว่าร้อยละ 70 ของพื้นที่เพาะปลูกของทั้งภาค หอมแดงศรีสะเกษมีคุณลักษณะพิเศษ คือ เปลือกมีสีแดงเข้ม ด้านในมีสีม่วง กลิ่นฉุนแรง เก็บรักษาได้ยาวนานเกษตรกรนิยมปลูกหลังจากช่วงเก็บเกี่ยวข้าวนาปี แหล่งที่เพาะปลูกที่สำคัญของจังหวัด คือ อำเภอยางชุมน้อย อำเภอราษีไศล อำเภอกันทรารมย์และอำเภอวังหิน ในปีเพาะปลูก 2552–2553 จังหวัดศรีสะเกษมีเนื้อที่ 28,771 ไร่ ได้ผลผลิตรวม 86,313 ตัน ผลผลิตต่อไร่ 3,018 กิโลกรัม มีเกษตรกรผู้ปลูกหอมแดงจำนวน 10,690 ราย และ อ.ราษีไศลมีศักยภาพในการผลิตหอมแดงสูงที่สุดโดยมีผลผลิตรวมและผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ที่ 29,771.75 ตัน และ 3,450 ตันต่อไร่ ตามลำดับ

สืบเนื่องจากศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ ได้รับหนังสือที่ ศก 0509/856 ลงวันที่ 24 ธันวาคม 2553 ของสำนักงานเกษตรอำเภอราษีไศล เรื่อง ขอความอนุเคราะห์ตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างหอมแดงของเกษตรกรผู้ปลูกหอมแดง ตำบลส้มป่อย อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมตัวอย่างต้นหอมแดงเพื่อประกอบการวิเคราะห์ นอกจากนี้ยังมีเผยแพร่ข่าวทางเวปไซต์http://kaodee.com/read/kaodee.wc/?id=1ffcff7796c98e2a345d31e5507830fd&ch=34&c=17 โดยรายงานว่าต้นหอมแดงที่ปลูกไว้ทั้งแปลงได้เน่าตาย โดยสังเกตเห็นเริ่มจากใบเหี่ยว รากไม่เจริญเติบโตและแห้งตายในที่สุด ทางเกษตรกรสันนิษฐานว่าอาจเกิดจากการติดเชื้อและระบาดทั่วทั้งแปลง

นักวิชาการเกษตรของศูนย์ฯ ได้ทำการตรวจดูลักษณะภายนอกของต้นหอมแดงด้วยตาเปล่า พบว่า หอมแดงมีลักษณะใบแห้งไหม้ แต่ไม่พบอาการและเชื้อสาเหตุโรค หลังจากนั้นได้เก็บตัวอย่างหอมแดงที่ได้รับในกล่องชื้น เพื่อสังเกตอาการของโรคแต่ไม่พบเชื้อสาเหตุของโรคหอมแดงแต่อย่างใด จึงรีบลงพื้นที่เพื่อไปหาสาเหตุ เบื้องต้นมีข้อสังเกตดังนี้
1.แปลงของเกษตรกรได้รับความเสียหายทั้งแปลงมีพื้นที่ปลูก 1 ไร่ โดยใบของต้นหอมแดงเหี่ยวแห้งทั้งต้นและเมื่อขุดหัวหอมแดงขึ้นมาพบว่าบางหัวเน่า มีเชื้อราและหนอน แต่มีอีกหลายหัวที่ไม่พบอาการเน่า กลับมีการแตกยอดใหม่ขึ้นมา
2.เมื่อสังเกตแปลงหอมแดงที่อยู่ข้างเคียงอีก 3 แปลง พบว่าไม่มีอาการในลักษณะเดียวกัน
3.สอบถามเกษตรกรทราบว่าช่วงระหว่างปลูก(เกษตรกรปลูกหอมแดงเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน) ได้มีการพ่นด้วยน้ำหมักชีวภาพที่หมักจากปลาร่วมกับน้ำส้มควันไม้ อัตรา 500 ซีซีต่อน้ำประมาณ 75 ลิตร(ถังพลาสติกสีฟ้าขนาดจุ 150 ลิตร ใช้น้ำผสมเพียงครึ่งถัง) พ่นทุกสัปดาห์ติดต่อกัน 3 ครั้ง โดยในการพ่นครั้งที่ 2 สังเกตว่าใบหอมแดงเหี่ยว มีใบแห้ง และในการพ่นครั้งที่ 3 สังเกตว่าใบเหี่ยวแห้งและมีการแตกยอดใหม่ เมื่อใส่ปุ๋ยเคมี(เกษตรกรใส่ปุ๋ยเคมีไปแล้วจำนวน 3 กระสอบ) และรดน้ำ พบว่าต้นหอมแดงหัวเน่าเละมากกว่าเดิม
จากข้อสังเกตดังกล่าว จึงสรุปได้ว่า หอมแดงของเกษตรกรที่ตำบลส้มป่อย อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ เกิดใบไหม้ทั้งแปลงไม่ได้เกิดจากการระบาดของโรค แต่เป็นการใช้สารที่ระดับความเข้มข้นมากเกินไปพืชจึงได้รับความเสียหาย ส่วนการเกิดเชื้อราและหนอนในหัวที่เน่าตายนั้นเกิดขึ้นภายหลังจากใบของหัวหอมถูกทำลายแล้ว

วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา ดังนี้
1.การใช้น้ำหมักชีวภาพที่หมักปลาร่วมกับน้ำส้มควันไม้ เนื่องจากน้ำส้มควันไม้มีฤทธิ์เป็นกรด (
pH ประมาณ1.5 –3.7) จำเป็นต้องมีการเจือจางเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป เช่น เจือจาง 20 - 50 เท่า เพื่อใช้ในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ในดินก่อนปลูกพืชประมาณ 10 วัน แต่โดยทั่วไปเกษตรกรมักทำการเจือจาง 200 เท่าเพื่อใช้ทั้งการพ่นทางใบและการรดลงดิน ซึ่งในกรณีนี้สามารถทำได้ในพืชทั่วๆ ไป แต่การพ่นทางใบของหอมแดงควรเจือจาง 500 – 800 เท่า ข้อควรรู้อย่างหนึ่งของน้ำส้มควันไม้คือ น้ำส้มควันไม้ไม่ใช่ธาตุอาหาร เป็นเพียงสารเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้สารเคมีและปุ๋ยเท่านั้น และเนื่องจากมีคุณสมบัติเป็นกรดจึงช่วยควบคุมการเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ในดินและบนต้นพืชได้เมื่อใช้ในระดับการเจือจางที่เหมาะสม นั่นคือก่อนใช้สารควรทราบอัตราส่วนที่ชัดเจน และวิธีการใช้ว่าควรรดลงดิน พ่นทางใบ หรือผล เป็นต้น เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายกับพืชและเกิดประโยชน์คุ้มค่าที่สุด นอกจากนี้การใช้ประโยชน์น้ำหมักชีวภาพในพื้นที่การเกษตร ในพืชผัก อัตราแนะนำ คือ 8 ช้อนโต๊ะ (80 ซีซี)ต่อน้ำ 4 ปี๊บ(80 ลิตร) ในพื้นที่ 1 ไร่ โดยพ่นหรือรดลงดิน ใบของหอมแดงมีลักษณะอ่อนและอวบน้ำ การได้รับสารที่มีความเข้มข้นสูงมากเกินไปจะไปทำลายโครงสร้างของใบหอม อีกทั้งการใช้ปุ๋ยน้ำชีวภาพที่หมักจากเศษปลาจะมีธาตุไนโตรเจนค่อนข้างสูง เมื่อใช้ในระดับความเข้มข้นที่สูงก็จะทำให้เป็นอันตรายเช่นกัน
2.การใช้ปุ๋ยเคมีมากเกินความจำเป็น หอมแดงซึ่งเป็นพืชอวบน้ำอยู่แล้ว เมื่อได้รับปุ๋ยในปริมาณมากก็จะมีการเจริญเติบโตทางใบมากกว่าปกติ จนทำให้อ่อนแอต่อการกระทบของสารเคมี เกษตรกรควรมีความระมัดระวัง และใช้ปุ๋ยเคมีตามค่าการวิเคราะห์ดิน ซึ่งกลุ่มวิจัยปฐพีวิทยา สำนักวิจัยและพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร ได้แนะนำไว้ดังนี้

ค่าวิเคราะห์ดิน

ใส่ปุ๋ย N (กก./ไร่)

ปริมาณ OM

น้อยกว่า 1.5 %

15


1.5-2.5 %

10


มากกว่า 2.5 %

10

ค่าวิเคราะห์ดิน

ใส่ปุ๋ย P2O5 (กก./ไร่)

ฟอสฟอรัส (P)

น้อยกว่า 10 มก./กก.

15


10-20 มก./กก.

10


มากกว่า 20 มก./กก.

5

ค่าวิเคราะห์ดิน

ใส่ปุ๋ย K2O (กก./ไร่)

โปแตสเซียม (K)

น้อยกว่า 60 มก./กก.

15


60-100 มก./กก.

10


มากกว่า 100 มก./กก.

5














ตัวอย่างเช่น ผลการวิเคราะห์ดินในแปลงมีปริมาณ OM น้อยกว่า 1.5 % มีฟอสฟอรัส (P) น้อยกว่า 10 มก./กก. และมีโปแตสเซียม (K) น้อยกว่า 60 มก./กก. ควรใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 จำนวน 2 กระสอบต่อไร่ตลอดฤดูกาลผลิต
เอกสารอ้างอิง
1.โครงการการใช้ปุ๋ยเคมีอย่างมีประสิทธิภาพ. กลุ่มวิจัยปฐพีวิทยา สำนักวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร
กรมวิชาการเกษตร,2551, 53 หน้า.
2.คู่มือการพัฒนาที่ดินสำหรับหมอดินอาสาและเกษตรกร. กรมพัฒนาที่ดิน. 2553, 236 หน้า.
3.สืบค้นจาก
http://www.rdi.ku.ac.th/news_announce/kurdi/Year_48/15/Woodvinegar.pdf
4.สืบค้นจาก http://www.charcoal.snmcenter.com/charcoalthai/charcoal_fun3.php
จิรภา ออสติน นักวิชาการเกษตรชำนาญการ
รัชนี ศิริยาน นักวิชาการเกษตรชำนาญการ
อรรถพล รุกขพันธ์
นักวิชาการเกษตรปฏิบัติการ
ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ

งานกาชาดจังหวัดศรีสะเกษ





ศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ ได้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดศรีสะเกษ ที่สังกัดกระทรวงเกษตรเกษตรและสหกรณ์ จัดทรรศการในงานเทศกาลปีใหม่ สี่เผ่าไทยศรีสะเกษ ประจำปี 2554 ในช่วงระหว่างวันที่ 27 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2554 ณ บริเวณสนามศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ โดยได้จัดแสดงนิทรรศการในงาน ดังนี้

- นิทรรศการผลงานวิจัยและพัฒนาของศูนย์ฯ ได้แก่ การขยายพันธุ์กล้วยไม้เขาพระวิหารโดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การปรับปรุงพันธุ์เบญจมาศ กล้วยไม้ม้าวิ่ง กล้วยไม้นางอั้ว พริกจินดา พริกยอดสน พริกขี้หนูเลย มันเทศเพื่อการผลิตเอทานอลและรับประทานสด มะละกอ การจัดการธาตุอาหารสำหรับกล้วยไม้และเทคโนโลยีการผลิตมะลิลา

- นิทรรศการแสดงพันธุ์พืชของงานผลิตพันธุ์หลักของศูนย์ฯ

- นิทรรศการโครงการทับทิมสยาม 06 โดยพืชที่จัดแสดงมี กลุ่มกล้วยไม้ ได้แก่ กล้วยไม้สกุลม้าวิ่ง กล้วยไม้เขาพระวิหาร และกล้วยไม้เหลืองพิศมร กลุ่มสับปะรดสี และกลุ่มไม้ใบประดับ ได้แก่ อโกลนีมา เฟิร์นใบมะขาม เป็นต้น

ภายในงานมีการจำหน่ายเมล็ดพันธุ์พืชผัก ต้นพันธุ์ไม้ผล และไม้ประดับจากโครงการทับทิมสยาม 06 มีการตอบปัญหาชิงรางวัล และการสาธิต ได้แก่ สาธิตการขยายเชื้อไตรโคเดอร์มาสด การแปรรูปมะม่วงแช่อิ่ม การขยายพันธุ์มะขามเปรี้ยวโดยวิธีการทาบกิ่ง การขยายพันธุ์มะม่วงหิมพานต์โดยการเสียบยอด การขยายพันธุ์มะนาวโดยการติดตา การทำมะม่วงแช่อิ่ม และการทำชาจากพืชสมุนไพร

ผู้เขียน ได้รับเกียรติจากทางจังหวัดให้ร่วมเป็นคณะกรรมการตัดสินการประกวดผลผลิตทางการเกษตร ทำหน้าที่ตัดสินการประกวดผลผลิตทางการเกษตร จำนวน 10 ชนิด ได้แก่ มะพร้าวอ่อนน้ำหอม ข้าวโพดหวานฝักสด กล้วยน้ำว้าสุก กล้วยน้ำว้าแก่จัด มะละกอสุก หอมแดงศรีสะเกษ พริกพันธุ์จินดา พริกพันธุ์หัวเรือ ฝรั่งพันธุ์แป้นสีทอง และมันสำปะหลัง

หลังเสร็จพิธีเปิด นายสมศักดิ์ สุวรรณสุจริต ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ และนางนิภา สุวรรณสุจริต นายกเหล่ากาชาดจังหวัดศรีสะเกษ ได้เดินชมนิทรรศการภายในงาน และชมนิทรรศการของศูนย์ฯ โดยมี นายธวัชชัย นิ่มกิ่งรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพืชสวนศรีสะเกษ ให้การต้อนรับ นำชมนิทรรศการ และมอบกระเช้าของที่ระลึก ซึ่งเป็นผลผลิตจากงานวิจัยและงานผลิตพันธุ์หลักภายในศูนย์ฯ